วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งของโลก ที่มีชื่อเรียกกันว่า “แสงเหนือ หรือ ปรากฏการณ์ออโรร่า” นั่นเอง ซึ่งเจ้าออโรร่านั้นจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดเป็นแสงต่างๆ มีรูปลักษณะเป็นวงกลม ส่วนใหญ่เราจะพบได้บ่อยที่แถบบริเวณขั้วโลก ในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากมายที่ต่างพากันออกเดินทาง ท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ เพื่อจะได้สัมผัสถึงความสวยงาม ความน่าทึ่ง และความมหัศจรรย์ของเจ้าแสงเหนือนี้กันสักครั้งในชีวิต เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราไปชมพร้อมๆ กันกันเลยว่าแสงเหนือ ออโรร่า เกิดขึ้นมาจากสิ่งใด จะพบเจอได้ที่ไหน รวมไปถึงมีสีอะไรบ้าง
แสง (Aurora) เกิดขึ้นมีมาตั้งแต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ออโรร่าเป็นแสงที่เกิดตามธรรมชาติเนื่องจากการชนกันของอนุภาคที่เก็บกระจุกจากดวงอาทิตย์ โดยพื้นฐานแล้วแสงออโรร่า หรือแสงเหนือพวกมันจะมีขอบเขตที่ชัดเจนทำให้เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อีกส่วนหนึ่งจะเป็นแสงออโรร่าที่แพร่กระจายไปในวงกว้าง อีกทั้งแสงดังกล่าวยังเป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งมาก เพราะจะเกิดขึ้นจากในอวกาศที่ใกล้กับพื้นโลก โดยมีความสูงจากพื้นโลกประมาณ 100 – 200 กิโลเมตร มันจะเกิดเจ้าสิ่งหนึ่งที่เป็นวงนิ่ง จากนั้นก็เกิดเป็นภาพของสีต่างๆพุ่งออกมา ออโรร่าจะมีชื่อเรียกอยู่สองอย่าง บางครั้งก็จะถูกเรียกว่า แสงเหนือ (Northern Light) หรือบางครั้งจะถูกเรียกว่า แสงใต้ (Southern Light) ในส่วนนี้ก็จะขึ้นอยู่กับแหล่งที่กำเนิดของมัน
ในส่วนของสีจากแสงออโรร่าที่เราสามารถมองเห็นได้อยู่บ่อยๆ ก็จะมีทั้งสีเขียวเข้ม สีเขียวซีด สีม่วง สีแดง และบางครั้งก็อาจจะมีสีอื่นๆที่ปะปนมาบ้าง ซึ่งสีทั้งหมดที่กล่าวมานี้ การที่เราจะมองเห็นเป็นสีนั้นๆได้จะเกิดมาจาก 2 ปัจจัยดังนี้
1.ประเทศ หรือแถบที่เกิดขึ้น เช่น ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้อะไรแบบนี้นั่นเอง
ความสูง หรือชั้นบรรยากาศระดับต่างๆที่มีปรากฏการณ์ออโรร่าเกิดขึ้น สำหรับสถานที่ที่เราจะสามารถสัมผัสกับแสงออโรร่าได้ ก็จะมี (แถบศูนย์สูตร : 1 ครั้งในรอบ 2000 ปี) (สกอตแลนด์เหนือ : เดือนละครั้ง) (เมือง Oslo ประเทศนอร์เวย์ : 3 คืนต่อ 1 เดือน) (เมือง Fairbanks รัฐอลาสกา : 5 – 10 ครั้งต่อเดือน) (ประเทศตอนใต้ทะเลเมดิเตอเรเนียน : 1–2 ครั้งในศตวรรษ) (พรมแดนสหรัฐ/แคนาดา : 2–4 ครั้งต่อ 1 ปี) (เม็กซิโก และ เมดิเตอเรเนียน : 1–2 ครั้งใน 10 ปี)
และทั้งหมดนี่ก็คือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ของโลกอย่าง “แสงเหนือ หรือ ปรากฏการณ์ออโรร่า” หากใครมีเวลาว่าง หรือมีโอกาส ก็อยากให้ลองไปสัมผัสกับความงามของเจ้าแสงเหนือกันสักครั้ง แค่คิดก็น่าสนใจแล้ว มันต้องสวยมากจนเป็นบรรยายออกมาคำพูดไม่ได้อย่างแน่นอน